วันพฤหัสบดีที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2559

ของฝาก “อาบีดีน-แม่ประนอม แสงอรุณ” โรตีสายไหมจากอยุธยา



   ถ้าพูดถงเรื่องของฝากจากอยุธยา ผมแนะนำต้องโรตีสายไหมร้าน“อาบีดีน-แม่ประนอม แสงอรุณ” จากอยุธยาครับ โรตีสายไหมเป็นอาหารว่างมีส่วนประกอบที่สำคัญก็คือ แผ่นโรตี และสายไหม ซึ่งแต่เดิมชาวอิสลามจะเป็นผู้ทำโรตีสายไหมขึ้นมาขายก่อนใคร และได้มีการถ่ายทอดวิชาสืบต่อกันมาอย่างช้านาน คงเป็นการยากที่จะกล่าวว่า เจ้าใดเป็นต้นตำรับแรกของอยุธยากันแน่
 

   ความโดดเด่นของโรตีร้านนี้คือ หลักในการทำโรตีสายไหมของร้าน เน้นความสะอาด อร่อย มีคุณภาพและพร้อมที่จะพัฒนาให้ดีขึ้นเรื่อยๆ การทำโรตีแป้งหนานุ่มแผ่นยักษ์กับสายไหมหอมมัน ทำออกมาสดใหม่ทุกชั่วโมงตลอดครับ
 
ร้าน อาบีดีน-แม่ประนอม แสงอรุณ 
ตั้งอยู่ในตัวเมือง จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ตรงข้ามโรงพยาบาลประจำจังหวัดอยุธยา ริมถนนอู่ทอง ร้านอยู่ข้างเซเว่น ถึงแม้มีร้านโรตีตั้งอยู่เรียงรายตลอดถนนหน้าโรงพยาบาล ถ้าสังเกตดีๆ จะมีร้านหนึ่งซึ่งคิวยาวแน่นเอี๊ยด เอาเป็นว่าถ้าใครได้มีโอกาส ไปเที่ยวอยุธยากัน ก็ลองแวะไปซื้อหามาลองชิม หรือมาเป็นของฝากกันได้ รับรองเรื่องรสชาติบอกได้เลยว่าไม่ผิดหวังจริงๆครับ



ตลาดน้ําอโยธยา

 

   ตลาดน้ําอโยธยาตั้งอยู่ที่ 65/12 หมู่ 7 ตำบลไผ่ลิง อำเภอพระนครศรีอยุธยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เปิดบริการทุกวัน เวลา 10.00 - 21.00น. เป็นแหล่งท่องเที่ยวบนเนื้อที่ 60 ไร่ จะเรียกได้ว่าเป็นตลาดน้ำที่ยิงใหญ่ที่สุดในเมืองอยุธยา เป็นสถานที่ท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ศิลปวัฒนธรรม เป็นตลาดย้อนยุคแบบโบราณ แวดล้อมไป ด้วยธรรมชาติ แบบไทยพื้นบ้านและสายน้ำ จัดแบ่งเป็นโซนๆ ตลาดน้ำอโยธยามีร้านค้ามากถึง 249 ร้าน ประกอบ ด้วยเรือสินค้า ขายอาหาร 50 ลำ ตลาดนัดชุมชนวิถีไทกว่าอีก 40 ร้าน และร้านค้าต่างๆ อีก 159 ร้าน ภายในตลาดน้ำอโยธยานั้นออกแบบเป็นเรือนไม้ทรงไทย โดยมีสระน้ำอยู่ตรงกลางตลาดและมีทางเดินบริเวณรอบๆสระ


   ซึ่งตลอดทางจะมีร้านขายสินค้าและอาหารมากมายหลากหลายชนิด สินค้าส่วนใหญ่จะคละเคล้ากันไปหลายประเภท เช่น สินค้า OTOP, สินค้าพื้นเมือง, สินค้าหัตถกรรม, ของทำมือ, ของเล่น, ของที่ระลึก, ของที่ระทึกจำพวกดาบและอาวุธโบราณ ตลอดไปจนถึงเสื้อผ้าและเครื่องประดับต่างๆ เรียกได้ว่ามีให้เลือกซื้อกันอย่างจุใจ
   

   ส่วนจุดเด่นที่น่าสนใจในตลาดน้ำอโยธยาคือการได้นั่งเรือชมบรรยากาศของตลาดน้ำได้อย่างทั่วถึงโดยจะตั้งอยู่ในโซนทางเข้าหน้าตลาด ค่าบริการคนละ 20 บาท และรวมถึงการแสดงพื้นบ้านและกิจกรรมต่างๆอีกด้วย อาทิเช่น โขน รำไทย เพลงฉ่อย เพลงละคร Hilight ยามค่ำคืนกับการแสดง มินิ ไลท์ แอนด์ ซาวน์ โดยในวันธรรมดามี 3 รอบ วันเสาร์-อาทิตย์ และวันหยุดนักขัตฤกษ์ 4 รอบ

วันพุธที่ 27 เมษายน พ.ศ. 2559

วัดพนัญเชิงวรวิหาร


   

   วัดพนัญเชิงวรวิหาร ตั้งอยู่ริมแม่น้ำป่าสักทางทิศใต้ฝั่งตรงข้ามเกาะเมือง วัดนี้เป็นวัดเก่าแก่และสำคัญวัดหนึ่งของอยุธยา ที่มีมาก่อนสร้างกรุงศรีอยุธยา ไม่ปรากฏหลักฐานว่าใครเป็นผู้สร้าง

จุดเด่นที่น่าสนใจของวัด


หลวงพ่อโตหรือพระพุทธไตรรัตนนายก ที่มีชื่อเสียงระบือไปทั่วประเทศ 
ที่มีพุทธศาสนิกชนทั้งชาวไทยและชาวจีนต่างให้ความเคารพ นับถือมาช้านาน 
เมื่อมายังวัดแห่งนี้จะไม่แปลกที่จะต้องพบเจอผู้คน จำนวนมากที่ไหลเวียนมานมัสการหลวงพ่อโตกันอย่างเนืองแน่น นับเป็นพระพุทธรูปปูนปั้นปางมารวิชัย ที่มีอายุมากที่สุดและใหญ่ที่สุดในประเทศไทย หน้าตักกว้าง 20.17 เมตร และสูงจากชายพระชงฆ์ถึงพระรัศมี 19 เมตร ชาวจีนนิยมเรียกว่า ซำปอกง


   นากนี้ยังมีตำหนักเจ้าแม่สร้อยดอกหมาก ก่อสร้างเป็นตึกแบบจีนเป็นที่ประดิษฐานรูปปั้นเจ้าแม่สร้อยดอกหมากใน เครื่องแต่งกายแบบจีน ชาวจีนเรียกว่า "จูแซเนี๊ย" เป็นที่เคารพนับถือของชาวจีนทั่วไป ใกล้กันมี วิหารเซียน เป็นที่ประดิษฐานรูปปั้น ท้าวจตุรโลกบาล เทพผู้คุ้มครองทั้ง 12 นักษัตร และเทพเจ้าต่างๆ

วัดพนัญเชิงวรวิหาร เปิดให้เข้าชมสักการะบูชาทุกวันเวลา 07:30 - 18:00 น.





วัดหน้าพระเมรุ



   วัดหน้าพระเมรุ ตั้งอยู่ริมคลองสระบัวด้านเหนือของคูเมือง ซึ่งเป็นแม่น้ำลพบุรีเก่า ตรงข้ามกับพระราชวังหลวง มีชื่อเดิมว่า "วัดพระเมรุราชการาม" แต่ไม่ปรากฏหลักฐานว่าใครเป็นผู้สร้างและสร้างในสมัยใด พิจารณาได้ว่า น่าจะเป็นวัดสร้างขึ้นตรงที่ถวายพระเพลิงกษัตริย์องค์ใดองค์หนึ่ง ในต้นสมัยอยุธยา และซึ่งเป็นวัดเดียวในกรุงศรีอยุธยาที่ไม่ถูกพม่าเผาทำลาย และยังคงสภาพที่ดีมาก เพราะพม่าได้ไปตั้งกองบัญชาการอยู่ที่วัดนี้ด้วย 

จุดเด่นที่น่าสนใจในวัดหน้าพระเมรุ


   - พระพุทธนิมิตรวิชิตมารโมลีศรีสรรเพชญบรมไตรโลกนาถ มีขนาดหน้าตักกว้าง 9 ศอก สูง 3 วา หล่อด้วยโลหะปิดทองทั้งองค์ จึงเป็นพระสัมฤทธิ์ขนาดใหญ่ตามคติการสร้างพระในสมัยอยุธยาตอนต้น จัดเป็นพระพุทธรูปทรงเครื่องสมัยอยุธยาที่มีขนาดใหญ่ที่สุดเท่าที่มีปรากฏอยู่ในปัจจุบันและมีความสมบูรณ์งดงามมาก
   

   - พระพุทธรูปศิลาศิลปะทวาราวดีในวิหารน้อย ในท่านั่งห้อยพระบาท พระพุทธรูปองค์นี้เป็นพระพุทธรูปศิลาประทับนั่งห้อยพระบาทที่ใหญ่และสมบูรณ์ที่สุดในปัจจุบัน

   วัดหน้าพระเมรุ เปิดให้เข้าชมทุกวันตั้งแต่เวลา
 08:30 - 17:30 น. อัตราค่าเข้าชม คนไทยเข้าฟรี ชาวต่างประเทศ 20 บาท

วัดไชยวัฒนาราม



   วัดไชยวัฒนารามตั้งอยู่ที่ ตำบลบ้านป้อม อำเภอเมือง จังหวัดพระนครศรีอยุธยา บริเวณริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา ทางฝั่งตะวันตกนอกเกาะเมือง สร้างขึ้นในปี พ.ศ. 2173 โดยสมเด็จพระเจ้าปราสาททอง พระองค์ทรงโปรดเกล้าฯให้สร้างขึ้นบนที่ที่เป็นบ้านเดิมของพระองค์เพื่ออุทิศพระราชกุศลถวายพระราชมารดา และวัดนี้อาจถูกสร้างขึ้นเพื่อเป็นอนุสรณ์แห่งชัยชนะเหนือเขมรด้วย จึงทำให้มีรูปแบบทางสถาปัตยกรรมส่วนหนึ่งมาจากปราสาทนครวัดนั้นเองครับ

สิ่งที่น่าสนใจในวัดไชยวัฒนาราม


    - พระอุโบสถ สร้างอยู่ทางด้านหน้ากำแพงเมรุทิศเมรุราย นอกระเบียงคต ปัจจุบันเหลือแต่ฐาน  ข้างๆมีเจดีย์ย่อมุมไม้สิบสอง มีกำแพงล้อมรอบโบราณสถานสำคัญแหล่านี้ถึง 3ชั้น
   
    - ปรางค์ประธาน ตั้งอยู่บริเวณตรงกลางของพื้นที่ฐานประทักษิณ ซึ่งฐานประทักษิณได้ยกสูงขึ้นมาจากพื้น 1.5 เมตร มีลักษณะเป็นปรางค์จัตุรมุขที่มีมุขยื่นออกมาทั้ง4ด้าน ในส่วนของมุขด้านตะวันออก จะเจาะมุขทะลุเข้าสู่เรือนธาตุ ซึ่งภายในจะประดิษฐานพระพุทธรุปนั่ง (ปัจจุบันไม่พบแล้ว) ยอดขององค์ปรางค์ ทำเป็นรัดประคดซ้อนกัน 7 ชั้นแต่ละชั้น เป็นลวดลายใบขนุนกลีบขนุน ส่วนบนสุดเป็นทรงดอกบัวตูม ปรางค์แบบนี้มีลักษณะเหมือนปรางค์ในสมัยอยุธยาตอนต้น ซึ่งวัดไชยวัฒนารามนั้นสร้างในสมัยอยุธยาตอนกลางจึงอาจกล่าวได้ว่าเป็นการนำเอาพระปรางค์ที่นิยมสร้างในสมัยอยุธยาตอนต้นมาก่อสร้างอีกครั้งหนึ่ง


    - ระเบียงคด  คือส่วนที่เชื่อมต่อ ระหว่างเมรุแต่ละเมรุเอาไว้ โดยรอบฐานประทักษิณซึ่งแต่เดิมจะมีหลังคารอบๆ ที่บริเวณระเบียงคดนี้ จะมีพระพุทธรูป ปางมารวิชัยประดิษฐานอยู่ รวมทั้งหมด 120 องค์ แกนในทำจากไม้ พอกปูนทีละชั้นจนได้สัดส่วนส่วนนิ้ว ใช้โลหะสำริด ดัดขึ้นรูป ปัจจุบันเหลือที่ยังมีพระเศียร อยู่ 2 องค์

    - ปรางค์บริวาร คือปรางค์องค์เล็กลงมาที่อยู่รายล้อม ปรางค์ประธาน มีทั้งหมด 4 องค์ลักษณะจะเพรียวกว่า ปรางค์ ประธานเมรุ คืออาคารทรงยอด แหลมที่อยู่รายรอบระเบียงคด ทั้ง 8 ทิศ ภายในคูหาจะประดิษฐานพระพุทธรูปทรงเครื่อง ปางมารวิชัย เอาไว้ที่เมรุทิศ เมรุละ 1 องค์ เมรุมุม เมรุละ 2 องค์ภายในคูหา มีภาพจิตรกรรมฝาผนัง หลงเหลือร่องรอยอยู่เล็กน้อย

  - ภาพปูนปั้น อยู่บริเวณด้านนอกของเมรุทั้ง 8 องค์ จะเป็นภาพเกี่ยวกับพุทธประวัติซึ่งลบเลือนไปมากแล้ว

   วัดไชยวัฒนาราม เปิดให้เข้าชมทุกวันตั้งแต่เวลา 08:30 - 16:30 น. อัตราค่าเข้าชม คนไทย 10 บาท ชาวต่างประเทศ 50 บาท

วัดมหาธาตุ



   วัดมหาธาตุตั้งอยู่เชิงสะพานป่าถ่าน ทางทิศตะวันออกของวัดพระศรีสรรเพชญ์ เป็นหนึ่งในวัดในเขตอุทยานประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยา ที่มีความสำคัญยิ่งในสมัยกรุงศรีอยุธยา เพราะเป็นวัดที่ประดิษฐานพระบรมธาตุใจกลางพระนคร และยังเป็นที่พำนักของสมเด็จพระสังฆราชฝ่ายคามวาสีอีกด้วย วัดแห่งนี้จึงได้รับการก่อสร้างและดูแลตลอดเวลาจวบจนถูกทำลายลงหลังเสียกรุงครั้งที่ 2 ซึ่งปัจจุบันกรมศิลปากรได้พยายามบูรณะไว้ตามสภาพ
 


จุดเด่นที่น่าสนใจในวัดมหาธาตุ
  1.    พระปรางค์ขนาดใหญ่ ซึ่งในปัจจุบันพังทลายลงมาหมดแล้ว แต่ราชทูตลังกาที่ได้เคยมาเยี่ยมชมวัดมหาธาตุใน สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว บรมโกศไว้ว่า ที่ฐานของพระปรางค์ มีรูปราชสีห์ หมี หงส์ นกยูง กินนร โค สุนัขป่า กระบือ มังกร เรียงรายอยู่โดยรอบรูปเหล่านี้อาจ หมายถึงสัตว์ในป่าหิมพานต์ที่รายล้อมอยู่เชิงเขาพระสุเมรุ ซึ่งเป็นแกน กลางของจักรวาล 
  2.    เจดีย์แปดเหลี่ยม เป็นเจดีย์ลดหลั่นกัน 4 ชั้น 8 เหลี่ยม ชั้นบนสุดประดิษฐานปรางค์ขนาดเล็ก ซึ่งเจดีย์องค์นี้ จัดว่าเป็นเจดีย์ที่แปลกตา พบเพียงองค์เดียวในอยุธยา
  3.    วิหารที่ฐานชุกชี ของพระประธานในวิหาร กรมศิลปากรพบว่ามีผู้ลักลอบขุดลงไปลึกถึง 2 เมตร จึงดำเนินการขุดต่อไปอีก 2 เมตร พบภาชนะดินเผาขนาดเล็ก 5 ใบ บรรจุแผ่นทองเบาๆรูปต่างๆ 4.
  4.    วิหารเล็ก วิหารเล็กแห่งนี้ มีรากไม้แผ่รากขึ้นเกาะเต็มผนัง รากไม้ส่วนหนึ่งได้ล้อมเศียรพระพุทธรูปไว้ธรรมดากรมศิลปากรจะต้อง ตัดต้นไม้ออกแต่ที่นี่ดูจะว่าเป็นที่ยกเว้น
  5.    พระปรางค์ขนาด กลางภายในพระปรางค์ มีภาพจิตรกรรม เรือนแก้วซึ่งเป็นตอนหนึ่งในพุทธประวัติ 
  6. ตำหนักพระสังฆราช บริเวณพื้นที่ว่างทางด้านทิศตะวันตก เป็นสถานที่ที่เป็นที่ตั้งพระตำหนักพระสังฆราช ราชทูตลังกาได้บอกไว้ว่า เป็นตำหนักที่สลักลวดลายปิดทอง มีม่านปักทอง พื้นปูพรมมีขวดปักดอกไม้เรียงราย เป็นแถวเพดานแขวนอัจกลับ (โคม) มีบังลังก์ 2 แห่ง

วัดมหาธาตุจะเปิดให้เข้าชมทุกวันตั้งแต่เวลา 08.30-16.30 น. ค่าเข้าชม คนไทย 10 บาท ชาวต่างประเทศ 30 บาท และตั้งแต่เวลาประมาณ 19.30น.-21.00น. จะมีการส่องไฟชมโบราณสถานอีกด้วย


















วันอังคารที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2559

วังช้างอยุธยา แล เพนียด



   วังช้างอยุธยา แล เพนียด ตั้งอยู่ริมถนนป่าโทน ข้างคุ้มขุนแผน อุทยานประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยา เดิมได้ตั้งชื่อว่า ปางช้างอยุธยา แล เพนียด และได้เปลี่ยนชื่อใหม่เป็น วังช้างอยุธยา แล เพนียด จนมาถึงปัจจุบัน เพื่อเป็นสิริมงคลแก่เจ้าของและสถานที่ ตั้งขึ้นเมื่อวันที่  17  กุมภาพันธุ์ พ.ศ. 2540  โดยได้รับการสนับสนุนจากกรมศิลปากร การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ที่อยู่ในเขตอุทยานประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยา และเป็นพื้นที่มรดกโลก วังช้างอยุธยา แล เพนียดและมูลนิธิพระคชบาล ได้ร่วมกันตั้งมั่นในการอนุรักษ์และสืบสานสายพันธ์ช้างไทยให้ยั่งยืน มีการจัดระบบ ระเบียบการเลี้ยงช้างที่ได้มาตรฐาน และเริ่มโครงการสืบสานสายพันธุ์ช้าง


   โดยปัจจุบันมีลูกช้างที่เกิดที่เพนียดหลวงเป็นจำนวนมาก โดยภายในวังช้างอยุธยา แล เพนียดมีตั้งแต่การเลี้ยงดูช้างตั้งแต่ช้างเด็กไปจนถึงช้างโต โดยมีกิจกรรมต่างๆ ที่เกี่ยวกับช้างมากมายไม่ว่าจะเป็น กิจกรรมช้างเล็ก ที่มีการฝึกให้ต้อนรับนักท่องเที่ยวด้วย การแสดงความสามารถ ดังเช่น สวัสดี ออกเสียง การนั่งกับพื้น ยืนสองขา เดินสองขา สามขา เป็นต้น


   อีกทั้งยังมีบริการขี่ช้างรอบอุทยานประวัติศาสตร์อยุธยาอีกด้วย ซึ่งค่าบริการขี่ช้างรอบเกาะเมืองแบ่งออกเป็น 3 ราคาตามระยะเวลาโดยประมาณดังนี้
  1. รอบ 7 นาที : คนไทย 100 บาท / ชาวต่างชาติ 200 บาท เด็กต่ำกว่า 100 cm ครึ่งราคา
  2. รอบ 15 นาที : คนไทย 200 บาท / ชาวต่างชาติ 400 บาท เด็กต่ำกว่า 100 cm ครึ่งราคา
  3. รอบ 25 นาที : คนไทย 300 บาท (เด็ก 200 บาท)  / ชาวต่างชาติ 500 บาท


  • โชว์การแสดงของช้าง

   โชว์ช้างรอบแรกประมาณ 10:30 รอบสุดท้ายประมาณ 15:00 ไม่ได้มีกำหนดรอบโชว์ชัดเจน ขึ้นอยู่กับจำนวนนักท่องเที่ยว มีโชว์เฉพาะวันเสาร์-อาทิตย์ และวันหยุดนักขัตฤกษ์ โดยวังช้างอยุธยา แล เพนียดจะเปิดให้บริการทุกวัน 09:00 – 17:00 น.








วัดใหญ่ชัยมงคล



   วัดใหญ่ชัยมงคลวัดโบราณกรุงเก่าพระนครศรีอยุธยาเดิมชื่อวัดป่าแก้วหรือวัดเจ้าไท เปิด 8.30-16.30 น. คนไทยเข้าฟรี ชาวต่างชาติเสีย 20 บาท ตั้งอยู่ทางฝั่งตะวันออกของแม่น้ำป่าสัก เป็นวัดที่มีความสำคัญทางประวัติศาตร์มากที่สุด และเป็นวัดที่นักท่องเที่ยวนิยมมามากที่สุดวัดหนึ่งในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา 


แถวพระพุทธรูป ที่ประดิษฐานเรียงรายอยู่ในระเบียงคด



   จุดเด่นของวัดคือเจดีย์ชัยมงคลองค์ใหญ่สูงสง่าและมีเรื่องราวทางประวัติศาตร์ในสมัยกรุงศรีอยุธยา รวมไปถึงสถาปัตยกรรมที่โดดเด่น ซึ่งก่อด้วยอิฐถือปูน ทรงลังกาองค์ใหญ่ที่สมเด็จพระนเรศวรมหาราช ทรงสร้างขึ้น เพื่อเฉลิมพระเกียรติในการชนะสงครามยุทธหัตถี


   จุดที่น่าสนใจต่อมาก็คือพระอุโบสถ เดิมสร้างขึ้นในสมัยพระเจ้าอู่ทอง ใช้เป็นสถานที่ปฏิบัติกรรมฐานรวมทั้งประกอบพิธีกรรมต่างๆ ภายในอุโบสถเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธชัยมงคล พระประธานที่เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ของวัด ซึ่งมีลักษณะเด่นจากที่อื่น คือปั้นด้วยหินทรายตลอดทั้งองค์ ส่วนที่เป็นจีวรถูกลงรักปิดทองประดับแก้ว ส่วนที่ไม่ใช่จีวรนั้นว่างเว้นเห็นเป็นเนื้อหินทรายที่สวยงาม


   จุดที่น่าสนใจอีกหนึ่งจุดต่อมาจะเป็นวิหารพระพุทธไสยาสน์ สร้างในสมัยสมเด็จพระนเรศวรมหาราช เพื่อเป็นที่สักการะและปฏิบัติพระกรรมฐานพระพุทธรูป องค์พระประธานของวิหารหันหน้า ไปทางทิศตะวันออกอันเป็นด้านหน้าของวัด ปัจจุบันวิหารแห่งนี้หลงเหลือเพียงเสาสองต้นและกำแพงบางส่วนหลังองค์พระพุทธไสยาสน์ ซึ่งได้รับการปฏิสังขรณ์ใหม่ในปี พ.ศ.2508

แนะนำจังหวัดพระนครศรีอยุธยา

   

   ราชธานีเก่า อู่ข้าวอู่น้ำ เลิศล้ำกานท์กวี คนดีศรีอยุธยา สวัสดีครับผมจะมาแนะนำจังหวัดพระนครศรีอยุธยาครับ จังหวัดพระนครศรีอยุธยาหรือเรียกสั้นๆว่าจังหวัดอยุธยา เป็นจังหวัดหนึ่งในภาคกลางซึ่งเป็นเมืองหลวงเก่าแก่ของประเทศ สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ.1893 โดยสมเด็จพระเจ้าอู่ทอง หรือ สมเด็จพระราคมธิบดีที่ 1 ในเวลา 417 ปีที่กรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี มีกษัตริย์ปกครอง 33 พระองค์ จาก 5 ราชวงศ์ คือ ราชวงศ์อู่ทอง ราชวงศ์สุพรรณภูมิ ราชวงศ์สุโขทัย ราชวงศ์ปราสาททอง และราชวงศ์บ้านพลูหลวง นับเป็นราชธานีของไทยที่มีอายุยืนยาวที่สุดในประวัติศาสตร์ชาติไทย โดยมี ร่องรอยของที่ตั้งเมือง โบราณสถาน โบราณวัตถุ และเรื่องราวเหตุการณ์ในลักษณะ ตำนานพงศาวดาร ไปจนถึงหลักศิลาจารึก ซึ่งถือว่าเป็นหลักฐานร่วมสมัยที่ใกล้เคียงเหตุการณ์มากที่สุด และมีความโดดเด่นทั้งในด้านประวัติศาสตร์และ วัฒนธรรมที่สืบต่อกันมายาวนาน ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ซึ่งเป็นเมืองที่มีแหล่งท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์ที่เก่าแก่มากในประเทศไทยเลยล่ะครับ จังหวัดพระนครศรีอยุธยาอยู่ห่างจากกรุงเทพฯประมาณ 76 กิโลเมตร

โดยการเดินทางไปจังหวัดพระนครศรีอยุธยา มีดังนี้
       
          1. รถยนต์ส่วนตัว จากกรุงเทพฯ
  • ใช้ทางหลวงหมายเลข 1 (ถนนพหลโยธิน) ผ่านประตูน้ำพระอินทร์ แล้วแยกเข้าทางหลวงหมายเลข 32 เลี้ยว ซ้ายไปตามทางหลวงหมายเลข 309 เข้าสู่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา
  • ใช้ทางหลวงหมายเลข 304 (ถนนแจ้งวัฒนะ) หรือทางหลวงหมายเลข 302 (ถนนงามวงศ์วาน) เลี้ยวขวา เข้าทาง หลวงหมายเลข 306 (ถนนติวานนท์) แล้วข้ามสะพานนนทบุรีหรือสะพานนวลฉวี ไปยังจังหวัดปทุมธานี ต่อด้วย เส้นทาง ปทุมธานี-สามโคก-เสนา (ทางหลวงหมายเลข 3111) เลี้ยวแยกขวาที่อำเภอเสนา เข้าสู่ทางหลวง หมายเลข 3263 เข้าสู่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา
  • ใช้เส้นทางกรุงเทพฯ-นนทบุรี-ปทุมธานี ทางหลวงหมายเลข 306 ถึงทางแยกสะพานปทุมธานี เลี้ยวเข้าสู่ ทาง หลวงหมายเลข 347 แล้วไปแยกเข้าทางหลวงหมายเลข 3309 ผ่านศูนย์ศิลปาชีพบางไทร อำเภอบางปะอิน เข้าสู่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา
         2. รถโดยสารประจำทาง
  • มีบริการรถโดยสารธรรมดาและรถโดยสารปรับอากาศไปจังหวัดพระนครศรีอยุธยาทุกวัน วันละหลายเที่ยว โดยออกจากสถานีขนส่งหมอชิต ถนนกำแพงเพชร 2 รถโดยสารปรับอากาศชั้น 1 กรุงเทพฯ-พระนครศรีอยุธยา และรถโดยสารปรับอากาศชั้น 2 กรุงเทพฯ-ศูนย์ศิลปาชีพบางไทร-พระนครศรีอยุธยา
  • รถตู้โดยสารจากอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิและฟิวเจอร์ปาร์ค รังสิต จอดบริเวณฝั่งห้างโรบินสันเก่ามีรถออกทุกชั่วโมง 
        3.เดินทางโดยรถไฟ
  • สามารถใช้บริการรถไฟโดยสารที่มีปลายทางสู่ภาคเหนือ และ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือซึ่งมีบริการทุกวัน ขบวนรถไฟจะผ่านจังหวัดพระนครศรีอยุธยาในเขต อำเภอบางปะอิน อำเภอพระนครศรีอยุธยา และอำเภอภาชี